+1 847 692 6378

325 West Touhy Avenue 
Park Ridge, IL 60068 USA

ติดต่อเรา

ลิงก์ที่เป็นประโยชน์

  • สำหรับบริษัท
  • MDRT Store
  • มูลนิธิ MDRT
  • MDRT Academy
  • MDRT Center for Field Leadership
  • Media Room

สถานที่ตั้งสาขา MDRT

  • Korea
  • Japan
  • Chinese Taiwan

ลิขสิทธิ์ 2025 Million Dollar Round Table®

การปฏิเสธความรับผิดนโยบายความเป็นส่วนตัว
Jason Hewlett
Jason Hewlett
7 พ.ย. 2561

คำมั่นสัญญา

ระหว่างเป้าหมายกับคำสัญญาแตกต่างกันมาก เมื่อคุณรักษาคำมั่นสัญญา คุณย่อมได้รับความไว้วางใจ ในวิชาการที่มีชีวิตชีวานี้ เต็มไปด้วยความประทับใจของนักร้องผู้เป็นตำนาน Hewlett สัมผัสถึงคุณค่าของความเคลื่อนไหวอย่างมีเอกลักษณ์ และวิธีที่จะมอบความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับคนสำคัญที่สุดในชีวิตของคุณ
‌
‌

คำถามที่ผมอยากจะเริ่มด้วยคือ ทำไมต้องตั้งเป้าหมายในเมื่อคุณสามารถให้คำสัญญาได้ ไม่ใช่ว่าเป้าหมายไม่สำคัญเพราะก็ เห็นกันอยู่ว่า มันสำคัญ เป้าหมายเป็นเรื่องเฉพาะเจาะจงในขณะที่คำสัญญาเป็นการประกาศ เอาเข้าจริงๆเวลาที่เราคิด เกี่ยวกับเป้าหมาย ถ้าเราตั้งเป้าหมายแล้วเราพลาด มันไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย เราก็แค่ตั้งเป้าหมายใหม่ แต่ถ้าเราให้ คำสัญญาแล้วเราไม่รักษามัน นั่นเป็นปัญหาที่ใหญ่หลวงมาก มันจะสามารถกระทบธุรกิจของเราได้; มันจะสามารถกระทบ ความสัมพันธ์ของเราได้ และผมเองก็เชื่อจริงๆว่า คำสัญญา เป็นคำที่มีพลังและสำคัญมากที่สุดที่เราต้องคิดอย่างละเอียด ในชีวิตของเรา ในธุรกิจของเรา—มันมีพลังมากกว่าความเชื่อใจ เพราะเมื่อเราพูดถึง ความเชื่อใจ มันมาจากคำสัญญาทั้งหมด ที่เราจะต้องรักษา

ดังนั้นเมื่อเราพูดถึง คำสัญญาที่สำคัญต่างๆที่เราได้ให้ไว้ ผมจะคิดถึงห้องนี้ของสมาชิก MDRT ผมขอแสดงความยินดีด้วย ครับที่พวกคุณมาอยู่ที่นี่เพราะคุณคือ นักแสดงที่ยอดเยี่ยมมาก นั่นคือสิ่งที่พวกคุณเป็นจริงๆ และเมื่อเราดูที่ผลงานการแสดง เราจะต้องคิดถึงบุคคลในตำนานที่มาก่อนหน้าเรา ถ้าให้ผมพาคุณย้อนกลับไปตั้งแต่จุดเริ่มต้นของอาชีพการแสดงของผม ผมเคยเป็นนักล้อเลียนที่ Las Vegas ในสไตล์การแสดงของบางตำนานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล เป็นการแสดงที่ให้คำสัญญา และรักษาคำสัญญาที่ยิ่งใหญ่มาก ดังนั้นผมหวังว่าพวกคุณพร้อมที่จะร่วมสนุกกับ Frankie Valli และ the Four Seasons มันเป็นอย่างนี้ครับ เริ่มเลยนะ

(ร้องเพลง)

คุณจำได้ไหม (ปรบมือ)

แน่นอน มันไม่ได้มีแค่พวกหนุ่มเจอร์ซี่ย์เท่านั้น มันมีตำนานมากมาย; มันยากที่จะเลือกว่าจะแสดงอันไหน แต่เพราะผมรัก เมืองที่เรียกว่า ดีทรอยท์ ผมจะลอง Motown สักหน่อย เพราะดนตรีโดนผมมากเลย ตอนที่ผมเป็นเด็ก พวกเราฟังเพลงนี้ ผมถามว่า “แม่ เกิดอะไรขึ้นกับขาของผมครับ” แม่บอกว่า “ปล่อยให้มันพาเราไป ลูก” ผมหวังว่าพวกคุณจะจำ the Temptations ได้ นี่ไงครับ

(ร้องเพลง)

(ปรบมือ)

ทีนี้ก็เป็น Diana Ross และ the Supremes ถ้าคุณจำท่าเต้นได้ มันจะเป็นแบบนี้ครับ ผมต้องขอให้คุณช่วยครับ ช่วยผมหน่อย

(ร้องเพลง)

เอาล่ะ ลองใช้จินตนาการของคุณครับ มันอาจจะดูไม่น่ามองสักเท่าไหร่ ผมรู้

(ร้องเพลง)

โอเค ช่วยผมหน่อย

(ร้องเพลง)

(ปรบมือ)

วันนี้ผมไม่ได้เอาแว่นสายตาของผมมาด้วย แต่มันเป็นแบบนี้ครับ มาครับ มาเริ่มกันเลย ปรบมือด้วยครับ ฮ่า ฮ่า! ใครพร้อมบ้างครับ

(ร้องเพลง)

Stevie Wonder!

พวกเขาเป็นเจ้าตำนวนที่คงกระพันคุณว่าไหม เวลาที่เราคิดถึงท่าเต้นของพวกเขา ท่าไม้ตายของพวกเขา สิ่งที่พวกเขาทำคือ การรักษาคำสัญญาทุกครั้งที่พวกเขาขึ้นมาบนเวที พวกเขาทำบางอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ที่พวกเราอยากเห็น พวกเราอยาก ได้ยินเพลงอมตะของพวกเขา เสียงที่เป็นเอกลักษณ์ สิ่งที่เป็นความโดดเด่น ท่าเต้นของพวกเขา Diana Ross ทำแบบนี้ [ภาพ] The Temptations ทำแบบนี้ ผมไม่จำเป็นต้องเปิดเพลงผมยังรู้เลยว่า “ผมเป็นใคร” และคุณก็รู้ว่าเป็น Stevie Wonder ใช่ไหม

ดังนั้นคำถามคือ ท่าไม้ตายของพวกคุณคืออะไร และพวกคุณเด่นออกมาจากคนอื่นๆในโลกอย่างไร เพราะเมื่อเราพูด ถึงคำสัญญา มันจะมาจบอยู่ที่องค์ประกอบสามอย่างที่ทำให้คำสัญญามีความหมาย องค์ประกอบแรกคือ ผู้ฟัง ถ้าเรามองตัวเองว่าเป็นนักแสดง แปลว่าเราทุกคนต้องมีผู้ฟัง นั่นคือลูกค้าของเรา คนพวกที่เราขายสินค้าให้ คนพวกที่เรา อยากให้มาเป็นแฟนสุดคลั่งของเรา

แล้วยังมีครอบครัว ไม่ใช่แค่ครอบครัวที่อยู่ที่บ้านที่เราจะพูดถึง แต่เป็นครอบครัวที่ทำงาน คนที่เราทำงานด้วยที่เราต้องให้ ความใส่ใจและความเชื่อใจ และในที่สุดก็คือ คนๆนั้น เดี๋ยวเราจะมาพูดถึงคนๆนั้นกัน ผมอยากจะให้พวกคุณคิดว่ามันจะ เป็นอะไรสำหรับคุณในระหว่างที่เราฟังการนำเสนอนี้

เรามาเริ่มกันที่ผู้ฟัง ใครเป็นผู้ฟังของคุณ มีคำสัญญาแบบใดบ้างที่คุณได้ให้ไป และมีสัญญาอะไรบ้างที่คุณได้ให้ไป แล้วแต่ไม่รู้ตัว คำสัญญาที่ถ้าคุณไม่รักษามัน มันอาจจะทำให้คุณเสียธุรกิจไปได้ นี่คือเรื่องราวจากอุตสาหกรรมของคุณ มีผู้ชายคนหนึ่งเข้า University of Utah เขาศึกษาที่นั่นเพื่อจะหาคำตอบให้กับตัวเองว่าเขาควรที่จะเป็นทนายหรือหมอดี ในที่สุดเขาก็แต่งงานและเริ่มทำงานพาร์ทไทม์ด้วยการขายประกันชีวิต เขารู้ตัวว่าเขาทำมันได้ดี มันเป็นอุตสาหกรรมที่ คนส่วนมากที่เข้ามาทำมันจะไปไม่รอดกัน แต่ผู้ชายคนนี้รอด เหมือนกับคุณหลายๆคน

เมื่อมาถึงจุดหนึ่งเขารู้ตัวว่าเขาทำเงินได้มากกว่าอาจารย์ของเขา เขาบอกกับตัวเองว่า เหลือเวลาไม่กี่เดือนเองก่อนจะจบ ผมมาทำอะไรอยู่ที่นี่ ผมสามารถเป็นนักขายประกันได้ ทีนี้ พ่อของเขาเคยลองมาก่อน และก็ไม่ได้ทำได้ดีกับการขายประกัน ดังนั้นการที่เขาจะกลับมาบ้านแล้วบอกภรรยาของเขาว่า “ผมจะลองทำอันนี้ดู ผมจะทำสิ่งนี้”—มันเป็นคำมั่นสัญญาที่มี ความเสี่ยงสูงมาก แต่เขาก็ยังคงเดินหน้าต่อไป เขามองเห็นท่าไม้ตายในการเป็นเจ้าแห่งตำนานของเขาซึ่งนั่นคือ เขาจะไป ดูกอล์ฟกับลูกค้าทุกคน เขาจะพาลูกค้าไปดูเกม Utah Jazz และเลือกที่นั่งด้านหน้าสุด เขาทำแบบนี้มา 20 ปี เขากลายเป็นคน ที่ใครๆก็อยากอยู่ใกล้ และอยากจะแนะนำลูกค้าของพวกเขาให้รู้จัก ผู้ชายคนนี้ได้เปลี่ยนชีวิตของใครหลายๆคนมาก เพราะเขาเข้าใจถึงความสำคัญของประกันชีวิตและธุรกิจว่ามันคือ ความสัมพันธ์ และผู้ฟังของเขาคือลูกค้าของเขา

มันเกือบจะเป็นเรื่องตลกของครอบครัวไปแล้ว ทุกครั้งที่เขากลับมาบ้าน ทุกคนจะสงสัยว่า รูปปั้นหรือดาบเอกซ์แคลิเบอร์ ใดที่เขาจะนำกลับมาบ้านด้วยในวันนั้น เพราะเขาเป็นสมาชิกสโมสรล้านเหรียญโต๊ะกลม เขาคือพ่อของผม เขาชื่อ John Hewlett และผมให้เกียรติเขามากกับอาชีพที่มหัศจรรย์ในอุตสาหกรรมของคุณ อย่างไรก็ตาม ผมไม่เคยไปถึงจุดที่พวกคุณ นั่งอยู่กันแม้ว่าพ่อต้องการให้ผมไปให้ถึง เขาอยากให้ผมเป็นนักขายประกัน แต่ผมไม่ผ่านบททดสอบนั้น ผมพูดว่า “ผมคิดว่าผมควรที่จะไปอยู่บนเวทีมากกว่า” ดังนั้นแทนที่จะเป็นผู้ฟังเหมือนพวกคุณ ผมดีใจมากที่ได้เจอที่ของผม

ในที่สุดพ่อของผมก็ค้นพบอุตสาหกรรมใหม่ ในในอุตสาหกรรมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ตอนนี้เขาประสบ ความสำเร็จไปแล้ว ผมภูมิใจในตัวผู้ชายคนนี้มาก และนั่นคือท่าไม้ตายที่น่าทึ่งที่เขามี ยังมีคนบอกผมว่า: “ผมยังจำได้ เลยตอนที่เขาพาผมไป Jazz game” และ “ผมจำได้ตอนที่เราไปตีกอล์ฟกัน” เขาเป็นนักแสดงในตำนานของพวกเขา

ผมอยากจะให้คุณคิดด้วย เพราะเรากำลังคุยเรื่องของนักแสดงในตำนาน เกี่ยวกับผู้ที่มีชื่อเสียงก่อนเรา เมื่อไม่นานมานี้ เราได้เสีย Prince David Bowie และ Tom Petty คนที่มหัศจรรย์หลายๆคน ผมอยากจะพูดถึงผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อ Michael Jackson คนที่ยังเป็นตำนานอยู่ในใจของเรา ถ้าคุณไปคอนเสิร์ตของ Michael Jackson ในช่วงปี 1990 จะมีอยู่ท่าหนึ่งที่ เรารอคอยให้เขาทำ ท่าไหนครับ

ผู้ฟัง: มูนวอล์ค (Moonwalk)

แล้วถ้าคุณไปคอนเสิร์ตของเขา แล้วเขาไม่ทำท่านั้นล่ะ คุณจะผิดหวัง ถึงแม้ว่ามันจะยอดเยี่ยมก็ตาม เพราะว่ามันคือ Michael Jackson แต่เขาจะไม่มีวันขึ้นเวทีมาแล้วไม่ทำสิ่งที่ทำให้เขาโด่งดัง มันเป็นสาเหตุที่ผู้ฟังของเขากลับมาดูเขา ผมอยากจะ แสดงให้คุณดูว่ามันจะเป็นอย่างไรถ้าเขาไม่รักษาสัญญาของเขา และมันจะรู้สึกยังไงสำหรับพวกคุณในฐานะที่เป็น ผู้ฟังที่จะโดนโกง ถึงแม้ว่ามันจะยอดเยี่ยมก็ตาม

(ร้องเพลง)

มาเลย มาร้องเพลงด้วยกัน

(ร้องเพลง)

มันเจ๋งดี แต่มันไม่พอใช่ไหม คุณอยากที่จะดูทั้งหมด [เต้นเหมือน Michael Jackson]

ขอบคุณครับ [เสียงของ Michael Jackson] Michael Jackson [เสียงปกติ]

ช่างเป็นนักแสดงที่ยิ่งใหญ่แห่งตำนานจริงๆ แต่มันเป็นเพราะทุกครั้งที่เขาขึ้นเวที เขาให้คำสัญญาและเขารักษามัน และเมื่อคุณไปคอนเสิร์ต คุณตื่นเต้นที่จะได้เห็นคนพวกนั้น แต่พวกเขาดันไม่เล่นในสิ่งที่ทำให้พวกเขาดัง คุณจะรู้สึก ผิดหวัง ดังนั้นผมอยากจะให้คุณคิดถึงคำสัญญาอะไรที่คุณได้ให้กับผู้ฟังของคุณ แต่เมื่อพูดถึงผู้ฟัง ถ้าผมจะถามคุณว่า “ท่าไม้ตายของคุณคืออะไร” คุณอาจจะพูดกับตัวเองว่า ฉันไม่รู้ว่าฉันมีไหม แต่พวกคุณมีครับ บ่อยครั้งที่เราค้นพบเพียงสิ่ง ที่พวกเรานำมาให้ครอบครัวของเรา ครอบครัวที่ทำงานจะช่วยให้เราค้นพบว่ามันคืออะไร เพราะพวกเราทุกคนมีบางสิ่ง ที่ทำให้เราโดดเด่นในโลกใบนี้

นี่คือเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวที่ทำงาน นี่เป็นเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้น มันเป็นเรื่องราวที่มีพลังมากในใจของผมเพราะเหตุนี้: เมื่อเราคิดถึงครอบครัว ครอบครัวของเราคือใคร คุณจะเรียกมันว่าทีม ชุมชน บรรดาเพื่อนร่วมงาน กลุ่ม—มันไม่ได้สำคัญ ที่นี่พวกเราเป็นครอบครัว MDRT ทั้งหมด แต่ผมอยากให้คุณพิจารณาคำว่า ครอบครัว เพราะ ครอบครัว มีความแข็งแกร่งมากกว่าคำอื่นๆ

เรื่องที่ออกมาเกี่ยวกับผู้ชายคนหนึ่งที่ได้รับการค้นพบว่าเดินไปทำงานทุกวัน สิบเอ็ดไมล์ นี่คือที่ Arkansas และที่ Arkansas เขาเดินไปทำงานทุกวัน ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ แต่เขาจะเดิน 11 ไมล์ไปทำงาน เขาต้องไปถึงที่ทำงานตี 4 เพราะเขาทำงานบริการ ส่งพัสดุ จะมีแม่อยู่คนหนึ่งในที่ทำงานเสมอ เธอชื่อว่า Mama Pat และเธอเรียนรู้ว่าผู้ชายคนนี้เดินมาทำงานเป็นเวลา 7 เดือน ทุกเช้า เธอเลยขอความช่วยเหลือจากหลายๆคน และสะสมเงินได้มากพอที่จะซื้อรถให้ผู้ชายคนนี้ ไม่ใช่รถใหม่ แต่เป็น แค่รถ ยี่ห้อ Saturn ION พวกเขาแสดงรถให้เขาดู Trenton Lewis ตะลึงจนแทบคลั่ง

มันทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงที่จะคิดว่าเขามีครอบครัวที่ทำงาน และเมื่อผมพูดว่า “ครอบครัว” ผมอยากให้คุณ คิดว่าครอบครัวของคุณคืออะไร เพราะมันอาจจะเป็นครอบครัวที่ทำงานของคุณก็ได้ บางทีมันอาจจะเป็นครอบครัว MDRT ของคุณก็ได้ แล้วครอบครัวของคุณล่ะ ครอบครัวของคุณประกอบด้วยอะไรบ้าง มันมีหน้าตาเป็นอย่างไรบ้าง เราต่างมี คำจำกัดความของเรากับคำว่า ครอบครัว นี่คือรูปของครอบครัวที่น่ารักของผม [ภาพ] ผมรักคนพวกนี้มาก เรามีลูกสี่คน ในเวลาห้าปี เพราะฉะนั้นผมเป็นผู้ชายที่ง่วงนอนมาก ผมไม่ได้หลับมาเป็นทศวรรษแล้ว

เจ้าเด็กคนนี้ตรงข้างๆ—เขาชื่อ Romney เป็นชื่อ Utah ที่แข็งแกร่ง Romney เมื่อตอนที่เขาอายุสามขวบ ผมกลับมาจาก การเดินทางของผม และในฐานะที่เป็นพ่อ ผมกลายเป็นผู้ชายที่ขี้โมโหสำหรับเด็กที่น่ารักเหล่านี้ มันมากเกินไป ผมจะตั้ง เป้าหมายทุกครั้งเมื่อผมกลับมาบ้าน: ผมต้องเป็นพ่อที่ดีกว่านี้ ผมตั้งเป้าว่าจะเป็นพ่อที่ดีกว่านี้ ผมจำได้ว่าตอนที่ผม กลับมาบ้าน แล้วเด็กๆพวกนี้ไม่ได้เข้ามากอดผมอย่างที่ผมคาดหวังเอาไว้ ผมถามภรรยาผมว่าเกิดอะไรขึ้น เธอบอกว่า “Romney—คุณจะต้องพาลูกไปวันพ่อลูกบ้าง”

เราจึงไปกัน เราออกเดทวันพ่อลูกกัน แล้วมันสนุกแค่ไหนงั้นเหรอ เพราะว่าเราไป McDonald’s และกินอาหารเช้า เพื่อสุขภาพกัน เราถ่ายรูปด้วยกัน ผมพูดว่า “ไปขึ้นสไลด์สิ!” เขาวิ่งขึ้นบันไดไปแล้วพูดว่า “พ่อ! พ่อ!” แล้วเขาก็ลื่นสไลด์ ลงมา ผมพูดว่า “เก่งมาก” แล้วเขาก็วิ่งขึ้นไปอีกแล้วพูดว่า “พ่อ! พ่อ!” แล้วเขาก็ลื่นสไลด์ลงมา แล้วเขาก็พูดว่า “พ่อ! พ่อ!” แล้วผมก็แบบว่า โอเค ผมพอแล้ว

ผมกลายเป็นคนแบบนั้นในฐานะนักเดินทาง ผมยุ่งกับโทรศัพท์ของผม พยายามทำธุระให้เสร็จ และเมื่อผมเบื่อกับ สิ่งที่อยู่ตรงหน้าผม นั่นคือการเป็นพ่อ ผมก็กลับไปที่โทรศัทพ์ของผมต่อ ผมเข้า Facebook แล้วเริ่มเลื่อนขึ้นเลื่อนลง เพื่อดูชีวิตของผู้คนตอนที่ผมควรที่จะใช้เวลากับลูกของผม ในขณะที่ผมจะลงรูปที่ลูกกับผมเพิ่งจะถ่ายไปเมื่อหนึ่งนาที ที่ผ่านมา ผมกำลังจะลงข้อความว่า “ผมมาวันพ่อลูกกับลูกชายผม” ผมตระหนักได้ถึงความเสแสร้งในสิ่งที่ผมกำลังจะทำ

ณ ตอนนั้นผมตัดสินใจลบแอพสุดโปรดของผมทิ้ง มันไม่ง่ายเลย แต่เราจะอยู่ ณ ปัจจุบันเต็มร้อยได้อย่างไร ถ้าคุณกำลัง สงสัยกับตัวคุณเองว่า ฉันไม่มีท่าไม้ตาย ผมอยากจะขอให้คุณพิจารณาว่ามันอาจจะเป็นการอยู่ต่อหน้าก็ได้ แต่เป็นใครสักคน ที่เมื่อคุณเป็นแล้วคุณอยู่ตรงนั้นเต็มร้อย เพราะถึงแม้ว่าเจ้าอุปกรณ์เล็กๆนี้สามารถทำให้ธุรกิจของคุณไปได้แล้วทำให้คุณ เชื่อมต่อกับโลก มันสามารถทำให้คุณตัดขาดจากครอบครัวของคุณได้ ดังนั้นวันนี้ผมอยากจะเปิดเพลงในนามของคน เหล่านั้นซึ่งไม่อาจลืมได้

ผมหวังว่าพวกคุณจะจำ Nat King Cole และลูกสาวของเขาได้ Natalie

(ร้องเพลง)

แทนที่จะเป็นพ่อที่ตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นพ่อที่ดีกว่าเดิม ให้สัญญาว่าจะเป็นพ่อที่ลูกๆอยากมี ผมขอสนับสนุนให้ทุกคนทำ แบบเดียวกันกับครอบครัวของพวกคุณ

เราได้พูดถึงผู้ฟังซึ่งคือ ลูกค้าของคุณ เราได้พูดถึงการรักษาคำสัญญาที่ให้ไว้กับครอบครัวที่ทำงานหรือครอบครัวที่บ้าน แล้วในที่สุดก็มาอยู่ที่คนๆนั้น ใครคือคนๆนั้น คนๆนั้นคือ คุณ เพราะถ้าเราผิดสัญญากับผู้ฟังของเรา เราจะเสียธุรกิจ ถ้าเราผิดสัญญากับครอบครัวของเรา พวกเขาจะทิ้งเรา ถ้าเราผิดสัญญากับตัวเราเอง ใครจะไปแคร์ เราควรที่จะแคร์

ตอนที่ผมเป็นเด็ก ผมค้นพบว่าผมมีบางอย่างที่ไม่เหมือนเด็กคนอื่นๆ มันเป็นสิ่งที่ยากที่จะเรียนรู้ ยากที่จะค้นพบ เพราะผมคือไอ้ตัวประหลาด ผมขึ้นรถบัสโรงเรียนตอนอายุห้าขวบ ผมเดินไปหาเด็กคนหนึ่งที่ผมคิดว่าเขาเจ๋งดี แล้วผมพูดว่า “ฉันอยากนั่งกับนาย!” เขาบอกผมว่า “ปากนายใหญ่” ผมอายุห้าขวบ อนุบาล วันแรก เป็นครั้งแรกที่ผมขึ้น รถโรงเรียน “ปากนายใหญ่” แล้วผมก็พูดว่า “นายพูดถูก” [เสียงป๊อบ] แล้วเขาก็พูดว่า “เอาอีก” ผมพูดว่า “อาาาา” เขาพูดว่า “นั่งกับพวกเราสิ มันจะต้องสนุกมากแน่ๆ”

ตลอดทั้งทางไปถึงโรงเรียน เขาพูดว่า “ทำที่นายทำกับปากของนายอีก” “อาาาาาา” แล้วคนก็พูดกันว่า “เด็กผู้ชายคนนั้น ปากใหญ่” ผมเลยกลายเป็นที่รู้จักในฐานะเด็กปากใหญ่ หลังเลิกเรียน แม่ของผมถามว่า “โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง สนุกไหม” ผมตอบว่า “ไม่ พวกเขาบอกว่าผมน่าเกลียดและปากผมใหญ่” แม่มองมาที่ผมแล้วก็ทำเหมือนที่แม่ทุกคนทำ เธอพูดว่า “ลูกไม่ได้น่าเกลียด แต่ปากของลูกใหญ่จริง” แล้วเธอก็พูดต่อว่า “ไม่ว่าใครก็แล้วแต่ที่พูดแบบนั้น ให้ลูกยิ้มให้ พวกเขา ยิ้มอย่างเดียว” ผมพูดว่า “ผมไม่อยากยิ้มให้ใครทั้งนั้น” แม่บอกว่า “ยิ้มให้พวกเขาก็พอ”

หลังจากนั้นผมก็ได้เรียนรู้ว่าถ้าผมยิ้มให้คนอื่น พวกเขามักจะยิ้มตอบ และพลังที่ผมส่งออกไปคือพลังที่ผมจะได้รับกลับมา ผมดีใจมากที่แม่ผมสอนผมตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งการไปหาหมอฟันของผมแล้วผมก็ได้เรียนรู้ว่า มันไม่เป็นอะไรที่จะเป็น ตัวผมเอง ในการมีปากที่มโหฬารแบบนี้ เพราะว่าในกรณีนี้ มันช่วยกู้สถานการณ์ได้ ตัวอย่างเช่น หมอฟันพูดว่า “อ้าปากกว้างๆ” แล้วผมก็ “อาาาาาา” หมอร้องว่า “โอ้ ให้ตายสิ หมอใช้ได้ทั้งสองมือเลย!” หมอจะพูดว่า “เรานี่โชคดีมาก เลยนะที่มีปากใหญ่ขนาดนี้” ผมตอบว่า “ไม่เห็นจะรู้สึกว่าโชคดีตรงไหนเลย” หมอพูดว่า “ไม่จริง มันเจ๋งจะตายเพราะ ว่าหมอสามารถยัดมือทั้งสองข้างเข้าไปได้ แล้วเรายังตอบหมอเป็นประโยคที่ฟังรู้เรื่องได้อยู่เลย” มันไม่น่าเชื่อเลย ผมรู้

แล้วผมก็ได้เรียนรู้ว่าผมสามารถเลียนเสียงห้องออฟฟิศของหมอฟันในขณะที่หมอทำฟันให้ผมอยู่ได้ ผมเลยแกล้งหมอ หมอไม่รู้หรอกว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ผมรู้สึกสบายใจกับที่ปรึกษาคนใหม่ของผม ผมได้ยินเสียง ผมเลยทำ [เสียงห้องออฟฟิศหมอฟัน] หมอพูดว่า “เครื่องมันเปิดอยู่เหรอ” ผมตอบว่า “โอ้ ไม่ครับ มันติดอยู่บนลิ้นผม” [เสียงห้องออฟฟิศหมอฟัน] “โอเค อย่าทำแบบนั้น” แล้วหมอก็พูดว่า “เรานี่เป็นเด็กที่พิลึกจริงๆ” ผมพูดว่า “ผมรู้” แล้วเขาก็ดึงเครื่องมือออกจากปากของผม แล้วปากของผมก็ยังคงค้างอยู่แบบนั้น หมอถามผมว่า “ทำได้ยังไงน่ะ” ผมตอบว่า “ผมไม่รู้” หมอเลยบอกว่า “หยุดซะ” ผมก็หยุด หมอบอกว่า “ทำอีกทีสิ” แล้วผมก็ทำ แล้วหมอก็พูดว่า “นั่นคือพรสวรรค์ของเรา”

ดังนั้นถ้าผมมาที่นี่พร้อมกับข้อความที่เป็นบวก มันคือสิ่งนี้ครับ ดูพรสวรรค์ของผมสิ ทีนี้ลองคิดถึงพรสวรรค์ของคุณ แล้วภูมิใจสักครั้งในสิ่งที่คุณมี! แล้วใช้มันซะ พวกคุณมีความสามารถพิเศษที่ผมไม่มี ผมมีความสามารถพิเศษ ที่พวกคุณไม่มี ผมอยากให้คุณตระหนักในข้อนี้ หมอฟันพูดอีกว่า “ถ้าทำแบบนั้นได้ข้างหนึ่ง แปลว่าอีกข้างหนึ่งก็ควร จะทำแบบนั้นได้เหมือนกัน” หมอพูดถูก ผมกลับไปบ้านแล้วก็ฝึก ผมหาวิธีที่จะทำให้ผู้คนยิ้มได้ เหมือนเป็นคลื่น ในทะเล มันเป็นสิ่งเดียวที่ผมทำได้ตอนที่ผมเป็นเด็ก ผมเลยไม่หยุดที่จะทำมัน ผมเรียนรู้ว่าผมทำกับริมฝีปากล่างก็ได้ และที่คิ้วของผม แม้กระทั่งกับจมูกของผม มันไม่น่าเชื่อเลย! แต่หมอฟันเป็นคนที่ช่วยให้ผมค้นพบสิ่งนี้

และผมก็ได้ให้สัญญากับตัวเองว่าจะแบ่งปันสิ่งนี้ ทุกโอกาสไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหน หรือไปที่ไหนก็ตาม ผมจะต้องทำให้วัน ของใครสักคนเป็นสุข ทีนี้ถ้าผมไปร้านอาหารแล้วผู้หญิงเสิร์ฟอาหารถามว่า “รับอะไรดีคะ” ผมสามารถตอบได้ว่า “โอ้ ผมขอแค่สลัดครับ” จบการสนทนา หรือถ้าผมรักษาสัญญาที่ผมให้ไว้กับตัวเอง เพราะคำสัญญาเป็นข้อผูกมัดที่อยู่ในระดับ สูงสุดที่เราจะทำได้ในทุกประสบการณ์ชีวิต ผมจะสามารถทำให้วันของเธอเป็นสุขได้ เธอพูดว่า “รับอะไรดีคะ” แล้วผมพูดว่า “เฮ้ คุณมีผักกาดแก้วไหมครับ” [กระดิกจมูก] ผมขอแค่แครอทครับ”

ผมหวังว่าคุณจะพิจารณาถึงข้อความนี้เกี่ยวกับคำสัญญากับตัวเอง คำสัญญาใดที่คุณต้องให้และรักษากับผู้ฟัง ครอบครัวและกับคนๆนั้นของคุณ คำสัญญาใดที่คุณอาจนึกไม่ถึงที่คุณได้ให้ไป แล้วพวกเขาคาดหวังที่จะได้รับมัน คุณมีเสียง คุณมีท่าไม้ตาย คุณมีบางอย่างที่ทำให้คุณโดดเด่นกว่าคนอื่น มันจะไม่มีความหมายอะไรหากคุณมีมัน แต่คุณไม่แบ่งปันมัน

ผมหวังว่าคุณจะจำนักร้องคนต่อไปได้ เขาเป็นหนึ่งในนักร้องที่ผมชอบมาก ผมขอจบด้วย

Louie Armstrong

เพราะพวกเราทำให้โลกมหัศจรรย์

(ร้องเพลง)

(ปรบมือ)

Hewlett

Jason Hewlett พูดได้อย่างยอดเยี่ยม โดยผสมผสานความจริงใจ, อารมณ์ขัน, ดนตรี และการพูดเลียนแบบเข้ากับทฤษฎีทางธุรกิจที่เหมาะสำหรับการเป็นผู้นำ, ความเป็นผู้ประกอบการ และการสร้างผลกระทบทางวัฒนธรรม หนึ่งในบุคคลที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้รับรางวัล Council of Peers Award for Excellence Speaker Hall of Fame อันทรงเกียรติ เขาให้วิชาการที่สร้างแรงกระตุ้นและการบริหารชั้นแนวหน้าในงานของบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกหลายครั้ง

ผู้เขียน

Jason Hewlett

South Jordan, USA

  • เกี่ยวกับ
  • เข้าร่วมเป็นสมาชิก
  • กิจกรรม
  • แหล่งข้อมูล