
น้ำเสียงคือวิธีการสื่อสารบุคลิก ความมั่นใจและความกระตือรือร้นของคุณต่อผู้อื่น เมื่อคุณเรียนรู้ที่จะใช้มันให้เป็น มันจะเปลี่ยนวิธีที่คนอื่นมองคุณไปเลย น้ำเสียงที่ผ่านการเรียนรู้นั้นมีอิทธิพลเพราะทำให้เกิดความสนใจ
เมื่อคุณพูด คนฟังคุณหรือเปล่า หรือพวกเขาเอาแต่ก้มหน้าดูโทรศัพท์ หรือพูดแทรกคุณ เมื่อคุณพูด คนฟังสิ่งที่คุณต้องพูดหรือไม่ เพราะเพื่อที่จะเป็นผู้นำทีม ทำการขาย โน้มน้าว สร้างนวัตกรรมหรือสร้างแรงบันดาลใจ ก่อนอื่นเลยคนต้องฟังคุณ การมีเสียงพูดที่ทรงพลังเพื่อทำให้ผู้คนสนใจและรับฟังจึงเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างเหลือเชื่อใช่หรือไม่ คิดหรือไม่ว่านั่นจะสร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ให้กับชีวิตและการงานของคุณ และความสามารถของคุณในการปิดดีล โน้มน้าวและเป็นผู้นำผู้อื่น แน่นอนว่าใช่ แต่เป็นไปได้หรือที่คุณจะเปลี่ยนน้ำเสียงของคุณ ไม่ใช่เพื่อให้ฟังเป็นเสียงคนอื่น เหมือนตอนที่พากย์เสียงในรายการทีวีหรือภาพยนตร์ ไม่ใช่เพื่อให้ฟังเหมือนคุณเป็นคนอื่น แต่เพื่อให้ฟังเป็นคุณอีกคนในเวอร์ชันที่ดีกว่าเดิม แต่จะทำได้จริงหรือ ที่จะปรับปรุงน้ำเสียงของเรา แบบที่เราปรับรูปลักษณ์ของเรา เหมือนว่าเราเมคโอเวอร์เสียงของเราได้หรือ
คำตอบคือใช่ คุณไม่เพียงสามารถเปลี่ยนวิธีเปล่งเสียงโดยการฝึกน้ำเสียงให้ฟังดูดีขึ้น แต่เมื่อคุณทำ มันจะเปลี่ยนชีวิตคุณ เหมือนการเปลี่ยนวิธีแต่งตัวแล้วภาพลักษณ์ก็เปลี่ยนวิธีที่คนตอบสนองต่อคุณ การเปลี่ยนวิธีออกเสียงเปลี่ยนภาพประทับใจที่คนมีต่อคุณเช่นกัน ทั้งหมดนั้น ไม่ใช่เรื่อง “My Fair Lady” ที่ Henry Higgins ศาสตราจารย์ด้านภาษาเดิมพันด้วยการสอนเรื่องการใช้เสียงเพื่อให้คุณเปลี่ยนจากคนขายดอกไม้ยากจนกลายเป็นดัชเชส และเขาทำได้ด้วย เธอเปลี่ยนแปลงชีวิตเธอไปโดยสิ้นเชิงเพียงการฝึกน้ำเสียงของเธอ วันนี้ผมจะเป็น Henry Higgins ของคุณ และแสดงวิธีการง่ายๆ ให้คุณดูเพื่อการฝึกน้ำเสียงของคุณ ยกเว้นแทนที่จะเปลี่ยนคุณจากคนขายดอกไม้ไปเป็นดัชเชส คุณอาจจะกลายเป็นนักสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นซึ่งโน้มน้าวจิตใจได้ดีขึ้นและทำให้สร้างผลกำไรได้มากขึ้น
ขั้นแรก สิ่งสำคัญคือการรับรู้ว่าคนกำลังเริ่มไม่รับฟังคุณ อาจเป็นเพราะพวกเขากำลังตอบสนองต่อเสียงของคุณมากกว่าเนื้อหาของสิ่งที่คุณพูด โทนเสียง ระดับเสียง ความเร็ว การเปล่งเสียง และความหลากหลายของเสียงเป็นเหมือนแม่เหล็ก ซึ่งอาจไล่คนไปไกลจากคุณ หรือดึงดูดให้เข้ามาใกล้คุณ และนั่นไม่ใช่เพราะสิ่งที่คุณพูด แต่เป็นวิธีการที่คุณพูด การสื่อสารถือเป็นเรื่องของเนื้อหาเพียง 7% อีก 93% เป็นเรื่องของโทนเสียงและภาษาร่างกาย หรืออีกอย่างคือวิธีที่คุณทำให้คนรู้สึกเวลาที่คุณพูด โดยเฉพาะตอนนี้ที่ความเสมือนจริงเวลาที่เราประชุมออนไลน์ เสียงของคุณต้องเชื่อมโยงกับผู้คนที่เราไม่ได้พบตัวตนจริงๆ ได้ แต่ถ้าคุณไม่ชอบน้ำเสียงของตนเอง จะบอกว่าไม่ใช่คุณคนเดียวหรอก การศึกษาพบกว่าคนส่วนใหญ่ไม่ชอบน้ำเสียงของตนเอง แต่นั่นก็คือวิธีการที่คนตอบสนองต่อคุณ พวกเราส่วนใหญ่ติดอยู่ในช่วงที่แคบมากของลำคอของเรา ถูกขังอยู่กับโน้ตไม่กี่ตัว โดยไม่เคยแตะถูกคีย์ไม่ว่าเสียงสูงหรือเสียงต่ำ ทั้งสองคีย์ต่างมีความสำคัญ
ยังลูกค้า การปลดปล่อยเสียงต่ำ จะทำให้คุณเป็นผู้นำที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นเหตุว่าทำไมผู้สมัครตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีโทนเสียงต่ำจึงชนะในทุกการเลือกตั้งนับตั้งแต่ Calvin Coolidge เป็นต้นมา แต่พวกเราส่วนใหญ่กลับติดอยู่ช่วงเสียงกลาง เล่นได้เพียงไม่กี่โน้ต ทำให้ศักยภาพทั้งหมดถูกปิดกั้นไว้ภายใน เหมือนน้ำเสียงของคุณคือเครื่องดนตรีที่ดีเยี่ยม แต่ไม่มีใครสอนวิธีเล่นให้คุณ ซึ่งน่าเสียดาย เพราะเสียงที่ผ่านการฝึกฝนคือสินทรัพย์อันมีค่า การศึกษาในปี 2013 จาก Duke University และUniversity of California พบว่าระดับสูงต่ำของเสียงลดลง 25% ของ CEO หลายคนไม่ว่าเพศใดมีความเชื่อมโยงกับเงินเดือนรวมต่อปีที่เพิ่มขึ้น 187,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
เสียงผมเหมือนคนอายุ 15 จนกระทั้งผมอายุ 25 ปี เมื่อผมเป็นผู้ใหญ่ เสียงผมแทบไม่เคยเปลี่ยนจริงๆ เลย เสียงผมยังเหมือนเสียงเด็ก การมีเสียงเหมือนวัยรุ่นที่ยังไม่โต ทำให้คนจริงจังกับเรื่องที่เราพูดได้ยาก ผมจึงลงทุนกับการเรียนการออกเสียงแบบตัวต่อตัว และฝึกการออกเสียงที่เปลี่ยนชีวิตผม การฝึกไม่ได้ทำให้เสียงผมฟังเหมือน James Earl Jones แต่ทำให้ผมสามารถควบคุมและมีความยืดหยุ่นในการใช้เสียงมากขึ้น และขอบคุณสำหรับการฝึกนั้น ที่ทำให้อยู่ในอาชีพนักพากย์ซึ่งเป็นที่รู้จักในฮอลลีวูดมากว่า 20 ปี ผมพากย์เสียงให้กับโฆษณาทีวีหลายร้อยชิ้นและสื่อโปรโมทต่างๆ หลายพันชิ้น รวมถึงการ์ตูนและภาพยนตร์นับร้อยเรื่อง
คุณอาจไม่ได้ต้องการที่จะเป็นนักพากย์ และคุณอาจไม่ต้องการอาชีพในการพากย์เสียง แต่ในธุรกิจและการลงทุน ลูกค้าเชื่อที่ปรึกษาที่มีเสียงต่ำและก้องกังวาน เพราะฟังดูมั่นใจกว่า และพวกเขาก็ให้เงินกับคนที่มีเสียงต่ำกว่า
เสียงของคุณคือกล้ามเนื้อ ดังนั้นลองฝึกดู และให้เริ่มฝึกตอนนี้เลย
ขั้นตอนการปฏิบัติ 1: การหายใจ การหายใจเป็นสิ่งที่ส่งกำลังให้เสียงที่คุณทำให้เกิดขึ้น เรามาเริ่มจากแบบฝึกหัดการหายใจง่ายๆ เสียงพวกเราส่วนใหญ่ถูกตัดขาดที่คอของเรา และมีความตึงเครียดอยู่ตรงนั้นเยอะ คุณรู้มั้ยว่าใครที่รู้วิธีสั่งให้คนมาสนใจ เด็กทารกไง
ทารกหายใจผ่านกระบังลม ทำให้เด็กตัวเล็กสามารถใช้เสียงเพื่อทำให้ผู้ใหญ่ต้องตื่นมาจากหลับลึกเพื่อมาอะไรก็ตามที่หนูๆ เขาต้องการในเวลาตีสี่ สิ่งนั้นคือการหายใจผ่านกระบังลม หนูๆ สั่งเราโดยการใช้การหายใจผ่านกระบังลมเพื่อส่งกำลังให้กับการกรีดร้อง และการร้องไห้ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเสียงของหนูๆ จึงได้ยินชัดเจนมาก วิธีการส่งกำลังให้กับเสียงที่ทำให้เกิดพลังเสียง จากนั้นพอเราโตขึ้น เราเริ่มที่มีความตึงเครียดที่ลำคอของเรา เราเริ่มหายใจสั้นขึ้น ซึ่งทำให้เสียงเราเล็กลงและถูกจำกัดมากขึ้น และพูดเสียงเบาให้พนักงานนำน้ำดื่มมาให้เราในระหว่างวัน ในขณะที่เราเคยชินกับการสั่งพ่อแม่เราให้นำน้ำมาให้เรากลางดึก เกิดอะไรขึ้นกับเรากันแน่ เรากลายเป็นคนที่หายใจผ่านทรวงอก ทำให้สิ่งที่เราหายใจเข้าไปครึ่งหนึ่งหยุดที่ทรวงอกและบ่าไหล่ของเรา และปล้นพลังงานของเราไป แก้ไขการหายใจ การให้ผ่านกระบังลมจะทำให้มีพื้นฐานที่แน่นและทำให้คุณมีลักษณะของผู้นำ ดังนั้นขอเริ่มด้วยสิ่งที่เรียกว่าการหายใจแบบอุชชายี ซึ่งแปลว่าการหายใจเพื่อชัยชนะ ซึ่งจะทำให้คุณผ่านคลาย ทำให้คุณช้าลง อยู่กับปัจจุบัน และเชื่อมโยงเสียงของคุณกับร่างกายของคุณ
และทำให้คุณมีเสียงดังขึ้น ทุ้มต่ำลง และเสียงที่ดังออกมาดีขึ้น คุณต้องหายใจเข้าผ่านจมูกเป็นเวลาสี่วินาที กลั้นไว้สองวินาที แล้วหายใจออกผ่านปากเป็นเวลาหกวินาที ทำให้เป็นเสียงกระซิบว่า “อา” เหมือนเสียงมหาสมุทร คุณต้องลองทำ กลั้นไว้สอง ออกอีกหก วางมือของคุณไว้ที่ท้องและจินตนาการว่ากำลังเติมลมลูกโป่งตอนที่หายเข้า และปล่อยลมลูกโป่งเมื่อหายใจออก
ขั้นตอนการปฏิบัติ 2: การออกเสียง หลังจากที่ได้ทำแบบฝึกหัดการหายใจแล้ว เรามาทำแบบฝึกหัดการออกเสียง แบบฝึกหัดนี้จะนำเสียงมาสู่การหายใจ และทำให้คุณลดโทนเสียงลงพร้อมทั้งขยายช่วงเสียง เพื่อคุณสามารถเล่นกับทุกโน้ตในเครื่องมือของคุณได้ อย่ากังวลว่าคุณร้องเพลงไม่เป็น นี่ไม่ใช่แบบฝึกหัดร้องเพลง แต่เป็นแบบฝึกหัดการออกเสียง ในขณะที่ปฏิบัติ เสียงคุณจะลึกขึ้น เต็มขึ้น หลากหลายขึ้นและก้องกังวานขึ้น สมองของคุณไม่สามารถแยกระหว่างการร้องเพลงและการพูดได้ คุณก็ไม่ควรแยกเช่นกัน ผมวอร์มเสียงกับลูกๆ ตอนไปส่งที่โรงเรียนทุกเช้า หายใจเข้าลึกๆ ถอนหายใจหรือหาวออก ทำเสียง และทำเสียงเหมือนไซเรนที่ค่อยๆ เบาลง ลองมาทำสามครั้ง ดีมาก
หากตอนนี้คุณอยู่ในออฟฟิศ และเพื่อนร่วมงานขำคุณ ผมก็ขอโทษด้วย แต่สถานการณ์จะแย่ลง เพราะแบบฝึกหัดเสียงข้อสุดท้ายต้องทำเสียงดังหน่อย วางมือลงบนท้อง และให้รู้สึกว่าท้องหดเข้าเวลาคุณพูด ทำเร็วๆ หลายๆ ครั้ง ครั้งแรกคุณอาจทำโดยไม่มีเสียง อีกอย่างคือเมื่อเพิ่มเสียง ทำให้เร็วและเงียบเป็นเวลาสองสามวินาที จากนั้นทำเร็วๆ พร้อมเปล่งเสียงเป็นเวลาสองสามวินาที เวลาผมสอนเทคนิคนี้ในหลักสูตรออนไลน์ ผมมักแนะนำให้ทำแบบฝึกหัดการหายใจและการออกเสียงเป็นเวลาสองสามนาทีทุกวัน เป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน เพื่อที่จะให้เสียงแข็งแรงขึ้นตลอดวัน ไม่เพียงแต่แค่ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น คุณจะได้ยินความแตกต่างแล้วล่ะในตอนนี้ เสียงของคุณคือกล้ามเนื้อ ถ้าไม่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ก็จะกลับไปเป็นเสียงในแบบที่ทำเป็นประจำ
ขั้นตอนการปฏิบัติ 3: การจัดตำแหน่งร่างกาย วิธียืน เคลื่อนไหวหรือลักษณะท่าทางบ่งบอกชัดเจนว่าคำพูดที่คุณใช้ ภาษากายของคุณกับโทนเสียงของคุณนั้นมีความเชื่อมโยงกัน เทคนิคล่าสุดคือการเชื่อมโยงร่างการกับเสียงของคุณเข้าหากัน เพื่อให้ต่างส่งเสริมซึ่งกันและกัน การเปิดกว้างทางกายภาพจะเปิดกว้างสมรรถภาพเสียงคุณเช่นกัน มันจะทำให้ความจุปอดคุณมากขึ้น ขยายความดังเสียง และทำให้เสียงคุณมีพลังมากขึ้น ตัวอย่างเช่น เสียงที่เป็นโมโนโทน และท่าทางของร่างกายที่เป็นโมโนโทนนั้นเข้ากัน หากคุณยืนหรือนั่งแบบแข็งๆ คุณก็มีแนวโน้มที่จะมีเสียงแข็งเช่นกัน สังเกตที่ Mr. Spock แทบจะไม่ขยับตัวเลยใน “Star Trek” ได้ไหม นั่นเป็นสิ่งที่ย้อนแย้งกับตรรกะอย่างมาก กลับกัน ถ้าเป็นใครสักคนที่มีอำนาจและออกคำสั่งมาก พูดและยืนแบบกว้างขวางและดูแพง
พวกเขาต้องใช้พื้นที่เยอะ และเกิดภาพที่ทำให้รู้สึกว่าพวกเขาเป็นเจ้าของห้อง นั่นคือหนึ่งในเหตุผลที่บุคลิกภาพของคนส่วนใหญ่ไม่ได้ออกมาดูดีนักนักการประชุมออนไลน์ เพราะคุณกำลังนั่ง หรือนั่งตัวงอ และจากการที่เราก้มดูโทรศัพท์ตลอดเวลา ทำให้การจัดตำแหน่งร่างกายเราไปเปลี่ยนไป เราทุกคนต่างมีคอที่งอขึ้น การนั่งที่โต๊ะก็ไม่ได้ช่วยอะไรเช่นกัน ลงเอยด้วยการเลื่อนกระดูกเชิงกรานไปด้านหลัง ทรุดไหล่ลง งอคอลง ทั้งหมดที่จำกัดการไหลเวียนอากาศและทำให้คุณมีเสียงน้อยลง ดังนั้นในระหว่างการประชุมออนไลน์ คุณอาจลงเอยด้วยการเจอกับ Milton ใน “พื้นที่สำนักงาน” "ขอโทษนะ อันนั้นคือเครื่องเย็บกระดาษของฉัน” แต่การจัดวางตำแหน่งร่างกายยังทำให้เสียงคุณเสียหาย และทำให้คุณไม่สามารถพูดต่อเนื่องได้ทั้งวันโดยไม่ทำให้เครียด
เมื่อภาษาร่างกายคุณแข็งแกร่งเท่าโทนเสียงของคุณ ทุกคนจะรับรู้ว่าคุณมีความมั่นใจและมีความสอดคล้องกัน

Joshua Seth เป็นนักมายากลด้านจิตวิทยาที่เดินทางรอบโลก วิทยากรสร้างแรงบันดาลใจ นักเขียนยอดนิยมและนักพากย์ชื่อดัง เขาเป็นที่รู้จักสำหรับหลายล้านคนในฐานะนักพากย์เสียงรายการทีวีและภาพยนตร์การ์ตูนเกือบ 100 เรื่อง เขาเป็นผู้สร้าง Creativity Cards: Brainstorming Made Easy ผู้แต่งหนังสือขายดีเรื่อง “Finding Focus in a Changing World: How to Make the Impossible Possible by Thinking Differently” และเป็นวิยากรชั้นนำที่สำคัญด้านความคิดสร้างสรรค์และการคิดเชิงนวัตกรรม เขานำเสนอที่ Harvard, Stanford, Oxford และบริษัทที่มีนวัตกรรมมากที่สุดของโลกหลายแห่งรวมถึง Pfizer, Uber, Deloitte และ Disney