น่าจะเชื่อ น่าจะทำ น่าเสียดาย ประกันคือเกราะป้องกันจากกฎของเมอร์ฟี่ (Murphy's Law) และเครื่องรางสำหรับป้องกันคำว่า "ฉันเตือนแล้วนะ" บ่อยครั้งที่รู้สึกเหมือนเป็นการเสียเงินเปล่า จนกว่าจะถึงเวลาที่เราจำเป็นต้องใช้ นั่นแหละคือการลงทุนที่มีค่าที่สุดที่เราเคยทำมา
ที่ปรึกษาทุกคนมีเรื่องราวเกี่ยวกับโอกาสที่หลุดลอยไป ของผมเป็นเรื่องราวของคู่สามีภรรยาใจดีที่อายุมากกว่าผมประมาณ 10 ปี ซึ่งเกือบทำโอกาสหลุดมือไป ผมพบ John และ Ann เมื่อผมยังใหม่กับวงการประกัน และพวกเขากำลังอยู่ในกระบวนการซื้อบริษัทก่อสร้าง ผมลงเอยด้วยการจัดทำประกันชีวิตให้กับพวกเขาค่อนข้างมาก ราว ๆ 5.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่เมื่อเวลาผ่านไป John ลังเลที่จะรักษากรมธรรม์ในระดับนั้นไว้
เขาโทรมา ผมจึงไปที่บ้านเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ John ไม่คิดว่าเขาต้องการความคุ้มครองประเภทนั้นอีกต่อไป แต่ผมก็สามารถโน้มน้าวเขาและเตือนเขาว่าทำไมพวกเขาถึงซื้อมา
จุดแข็งของบริษัทของเขาอยู่ที่การที่ John เป็นผู้บริหาร เพราะเขารู้จักธุรกิจก่อสร้างเป็นอย่างดี "ถ้าคุณเสียชีวิต มีโอกาสที่ธนาคารจะพุ่งเป้าไปที่ภรรยาของคุณ ซึ่งไม่รู้วิธีขับรถโม่ปูนหรือขับรถตักดิน และลูก ๆ ของคุณที่ยังเด็กและใหม่ในธุรกิจ แล้วเรียกคืนเงินกู้ทั้งหมด” ผมอธิบายให้เขาฟัง "พวกเขาจะไม่เสี่ยงกับภรรยาและลูกคุณ และคุณไม่สามารถดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมอย่างการก่อสร้างได้หากไม่มีหลักประกัน"
ผมเตือนเขาว่าธุรกิจของเขาแบกรับหนี้ 3 ล้านดอลลาร์ต่อวัน เพราะนั่นคือจำนวนเงินที่เขาเป็นหนี้เครื่องจักร หากเงินกู้สำหรับเครื่องจักรได้รับการชำระหมด Ann ก็สามารถจ้างคนมาบริหารธุรกิจได้ และมันก็จะดำเนินต่อไปได้หากเกิดอะไรขึ้นกับ John เบี้ยประกันของเขาอยู่ที่ 30,000 ดอลลาร์ต่อปี และแม้ว่าอาจจะดูสูง แต่เมื่อเทียบกับ 3 ล้านดอลลาร์แล้วถือว่าเล็กน้อยมาก และมันเป็นประกันสินเชื่อหลักประกัน ดังนั้นเราจึงนำเบี้ยประกันนั้นไปหักจากค่าใช้จ่ายของธุรกิจได้
ความคิดของ John ที่จะยกเลิกกลับมาอีกสามครั้ง และในแต่ละครั้ง ผมก็ช่วยให้เขาเปลี่ยนใจ John มีความหลงใหลในรถยนต์ และด้วยเบี้ยประกันรายปี 30,000 ดอลลาร์นั้น เขาไม่สามารถใช้เงินกับงานอดิเรกของเขาได้
John เกิดความสงสัยอีกครั้งเมื่อทั้งคู่กำลังเตรียมตัวออกเดินทางไปล่องเรือในทะเลแคริบเบียนเพื่อฉลองครบรอบแต่งงาน 35 ปี แทนที่จะโทรและเสี่ยงที่จะถูกห้ามไม่ให้ตัดสินใจ เขาแอบไปเขียนจดหมายถึงบริษัทประกันภัยเพื่อยกเลิกกรมธรรม์ก่อนที่จะออกผจญภัย
แล้ว John แล้ว Ann ก็ออกสู่ทะเล พวกเขามีอะไรให้ฉลองมากมาย นอกจากการแต่งงานที่มีความสุขแล้ว พวกเขายังดำเนินธุรกิจที่เจริญรุ่งเรือง ลูก ๆ ก็โตเป็นหนุ่มสาวแล้ว และครอบครัวก็ใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย แต่ John ประสบภาวะหลอดเลือดโป่งพองในสมอง (Aneurysm) และต้องถูกอพยพทางการแพทย์ออกจากเรือ เมื่อสามีของเธออยู่ในภาวะต้องใช้เครื่องช่วยชีวิตอย่างไม่คาดคิด Ann โทรหาผมด้วยความตื่นตระหนก ผมจัดการให้ลูก ๆ ทั้งสามคน อายุ 17, 20 และ 21 ปี ไปถึงโรงพยาบาลในฟลอริดาได้ทันเวลาเพื่อบอกลาพ่อของพวกเขา
ในขณะที่เรื่องนี้กำลังเกิดขึ้น ผมไม่ทราบเรื่องการยกเลิกเลย และ Ann ก็ไม่รู้ด้วย เนื่องจาก John ไม่ได้บอกแผนการของเขากับเธอเกี่ยวกับกรมธรรม์
สองวันต่อมา ผู้ช่วยในสำนักงานของผมบอกว่าเราได้รับซองจดหมายจากบริษัทประกัน ซึ่งมีแบบฟอร์มการบอกเลิกกรมธรรม์อยู่ด้วย ผมแน่ใจว่าใบหน้าของผมซีดเผือดเมื่อเห็นชื่อบนกรมธรรม์ มันเป็นเรื่องราวที่ที่ปรึกษาทุกคนหวาดกลัว แต่ในกรณีของ John และครอบครัว โชคชะตาก็เข้าข้างอีกครั้ง และโอกาสที่เกือบจะหลุดมือไปกลับไม่หลุดไปจริง
แบบฟอร์มนั้นมีข้อความกำกับไว้ว่า "นี่ผิด นี่ก็ผิด! แก้ด้วย ลูกค้าต้องเซ็นชื่อย่อกำกับด้วย" ในความเร่งรีบที่จะยกเลิกความคุ้มครอง John ได้ทำผิดพลาด และโชคดีที่ข้อผิดพลาดเหล่านี้ทำให้แบบฟอร์มการยกเลิกไม่มีผลบังคับ จนกว่าเขาจะแก้ไขเสียก่อน ครอบครัวของเขาจึงยังได้รับการประกันอย่างเต็มที่ ผมโยนเอกสารนั้นลงถังขยะ และครอบครัวของเขายังคงเป็นลูกค้าของผมมาจนถึงทุกวันนี้แม้ว่าบริษัทจะทำผลงานได้เมื่อ John เสียชีวิตแล้ว แต่การยกเลิกกรมธรรม์อาจทำให้ Ann ไม่สามารถขอสินเชื่อได้ หากคุณไม่มีวงเงินสินเชื่อในการดำเนินงาน ทุกอย่างก็จบ คุณไม่สามารถประมูลงานด้วยซ้ำ ทรัพย์สินของครอบครัวจะต้องนำไปชำระคืนเงินกู้ และบริษัทของพวกเขาก็คงจะล้มละลายไปแล้ว
โชคดีที่มันไม่เกิดขึ้น วันนี้ Ann เกษียณแล้ว และลูก ๆ ของเธอก็กำลังดำเนินธุรกิจของครอบครัวต่อไป Impact ของประกันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริง ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสินไหมนั้นเมื่อ 12 ปีที่แล้ว Ann คงไม่มีทรัพย์สินให้เธอใช้พยุงตัวเองให้ผ่านพ้นการสูญเสีย John ไปได้ และท้ายที่สุดก็ส่งต่อธุรกิจให้กับลูก ๆ
นั่นคือของขวัญชิ้นสุดท้ายของเขาที่มีให้ครอบครัว และเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่มาก